Don't Eat The Marshmallow...Yet!(2)

วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556



         ในที่สุดผมก็อ่านจบสำหรับหนังสือที่มีชื่อว่า "วิธีคิดที่ทำให้ชีวิตของคุณประสบความสำเร็จและแตกต่างกว่าคนอื่น (Don't Eat The Marshmallow...Yet!)" โดย ดร.โจอาคิม เดอ โพซาด้า และ เอลเล็น ซิงเกอร์ แล้วสรุปทำไมขนมมาร์ชมาลโลว์ถึงเกี่ยวกับการ "ประสบความสำเร็จในชีวิต" ได้หล่ะ นั่นก็เพราะขนมมาร์ชมาลโลว์นั้นเปรียบเสมือนสิ่งที่เย้ายวนใจ ที่เมื่อเห็นคุณก็อยากจะกินมันเลยทันที ซึ่งถ้าเปรียบกับสุภาษิตไทยก็คงจะตรงกับคำว่า "อดเปรี้ยวไว้กินหวาน" นั่นแหละครับ


        มีตัวอย่างนึงในหนังสือที่น่าสนใจมากๆ ในหนังสือจะเป็นเรื่องเล่าของตัวละครหลักสองคน คนนึงเป็นเศรษฐีมีชื่อว่า โจนาธาน เพเชี่ยน ส่วนอีกคนเป็นคนขับรถของเศรษฐีคนนั้น ชื่อว่า อาร์เธอร์ ซึ่งหลังจากที่ผมอ่านจบ มันสอดแทรกความประทับใจไว้ในนั้นด้วย จากคนขับรถธรรมดาๆคนนึง สามารถมีอนาคตที่ดีได้จากความช่วยเหลือของเศรษฐีคนนั้น ซึ่งได้สอนเขาถึง "ทฤษฎีมาร์ชมาลโลว์" (หากใครยังไม่เคยดูวีดีโอจาก Blog ของหนังสือเล่มนี้ที่ผมเขียนไว้ก่อนหน้านี้ คลิกที่นี่ ครับ) ซึ่งทฤษฎีนี้เองที่ทำให้อาร์เธอร์ประสบความสำเร็จ ตัวอย่างนึงที่ผมบอกว่าน่าสนใจคือ เศรษฐีได้ถามอาร์เธอร์ว่า ระหว่างผมให้เงินแก่คุณเป็นจำนวน 1 ล้านเหรียญ กับ ผมให้เงินคุณวันละ 1 เหรียญแต่คูณสองขึ้นทุกวัน คุณจะเลือกอะไร? แล้วถ้าเป็นผู้อ่านหล่ะจะเลือกอะไร? ถ้าผู้อ่านรีบเลือก 1 ล้านเหรียญแสดงว่าคุณพลาดแล้วหล่ะครับ เพราะการรับเงิน 1 เหรียญ และคูณสองทุกวัน (เช่นจาก 1 เป็น 2, แล้ว 2 เป็น 4) ทำไปเรื่อยๆอย่างงี้ทุกวัน เค้าสามารถมีเงินถึง 500 ล้านเหรียญภายใน 1 เดือน!!! อันนี้เพื่อนๆฟังไม่ผิดหรอกครับ ลองคิดดูได้นะ

          สำหรับผมแล้วการห้ามใจไม่ให้กินมาร์ชมาลโลว์นั้น ก็เปรียบเสมือนการแนะนำให้เราคิดอย่างรอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจ อย่าพลีพลาม ซึ่งนั่นสามารถใช้ได้กับทุกสถานการณ์ อย่างที่ผมเคยแนะนำ เวลาล้มอย่าเพิ่งรีบลุก หลังจากที่ผมลงทุนหุ้นไปได้ไม่นาน ทำให้ผมได้บทเรียนมากมาย ซึ่งเงินที่ลดลงนั้น ผมขอไม่เอ่ยว่าเท่าไหร่ แต่มันก็เป็นเงินจำนวนไม่น้อยสำหรับใครหลายๆคน นั่นเป็นเพราะผมรีบกินมาร์ชมาลโลว์นั่นเอง หลังจากที่ผมอ่านหนังสือเล่มนี้จบ ทำให้ผมได้แง่คิดอะไรมากขึ้น ว่าหากการลงทุนคราวหน้าผมไม่ควรรีบกินมาร์ชมาลโลว์ของผม แต่อย่างน้อยผมก็ทำตามที่หนังสือบอก แทนที่ผมจะบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร ผมกลับมาคิดถึงสาเหตุของการทำพลาดครั้งนี้ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ประเมินค่าไม่ได้เลยสำหรับผมครับเพราะแทนที่ผมจะขนาดจนเลิกเล่นหุ้นแต่สิ่งๆนี้กลับทำให้ผมอยากศึกษาเพิ่มเติมอีก อยากรู้เพิ่มเติมอีก เห็นมั้ยครับว่าเราก็สามารถเปลี่ยนความล้มเหลวให้เป็นแรงพลักดันได้ สำหรับผมแล้ว ผู้แพ้ตัวจริงคือคนที่ยอมแพ้ตัวเองครับ

            ภายในหนังสือเล่มนี้ยังมีตัวอย่างอื่นๆอีกมากมายที่ช่วยให้เพื่อนๆได้นำเอาไปใช้อีกมากมาย เช่น เค้าได้กล่าวไว้อยู่ประโยคนึง ซึ่งคล้ายๆกับสิ่งที่ผมมักพูดอยู่บ่อยๆ เค้ากล่าวไว้ว่า "การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ จะทำให้ชีวิตมีพลังอำนาจ เพราะถ้าคุณรู้ แต่ไม่ลงมือทำ ก็เท่ากับว่าคุณ ไม่รู้ มันก็เท่านั้นเอง" และยังมีตัวอย่างอื่นๆอีกมากมาย รวมทั้งความประทับใจที่หาได้ในหนังสือเพียงไม่กี่เล่ม ลองหามาอ่านดูครับ เล่มไม่หนา และไม่แพง แต่ข้อคิดดีๆเพียบ!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น